ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ขับสนุกไตล์สปอร์ต ซิตี้ อี:เอชอีวี ล้ำเกินคลาส
บนเส้นทางกว่า 400 กิโลเมตร ไปกลับกรุงเทพฯ-เขาใหญ่
23-24 ธันวาคม 2563 บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เชิญสื่อมวลชนรวมถึง Carallstyle ร่วมทดสอบสมรรถนะการขับขี่ของซิตี้คาร์ 2 รุ่นใหม่ ภายใต้ “เดอะ ซิตี้ ซีรีส์” ทั้ง ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ ซิตี้คาร์สปอร์ตแฮทช์แบ็กน้องใหม่ ขุมพลังเทอร์โบ เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร VTEC TURBO 122 แรงม้า เน้นขับสนุก และให้อัตราการประหยัดน้ำมันเกินคาด มาพร้อมความอเนกประสงค์ของเบาะนั่ง อัลตรา ซีท ครบครันด้วยฟังก์ชั่นตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้งาน และ ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี ใหม่ ซิตี้คาร์ Full Hybrid รุ่นแรกของเซกเมนต์รถยนต์ซีดานขนาดกระทัดรัด ที่มาพร้อม ระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid i-MMD ให้สมรรถนะการขับขี่ที่นุ่มนวลหนักแน่น ตอบสนองทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร และมั่นใจในทุกเส้นทางด้วย เทคโนโลยีความปลอดภัย ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง ( Honda SENSING) อีกทั้งฟังก์ชันการใช้งานเพื่อความสะดวกสบาย รวมระยะทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-เขาใหญ่ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา กว่า 400 กิโลเมตร
โดยก่อนเริ่มกิจกรรมการทดสอบสมรรถนะการขับขี่สองสมาชิกใหม่ของ เดอะ ซิตี้ ซีรีส์ ทั้ง 2 รุ่น คณะสื่อมวลชนได้ร่วมรับฟังข้อมูลผลิตภัณฑ์และพัฒนาการ ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ และ ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี ใหม่ ที่มาพร้อมความโดดเด่นที่แตกต่างกัน เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายอย่างครอบคลุม พร้อมทั้งรับทราบยอดจองซื้อมากกว่า 4.000 คัน ของทั้งสองรุ่นหลังจากเปิดตัวเพียงหนึ่งเดือนแรกเท่านั้นจากคุณ มนวรา เพชรพลากร ผู้จัดการทั่วไปส่วนการตลาดและวางแผนกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด จึงนับเป็นรถยนต์ที่อยู่ในความสนใจของผู้ใช้รถชาวไทยตลอดช่วงข้ามปีที่ผ่านมา
ในระหว่างเส้นทางการทดสอบขับบนเส้นทางจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่ที่ราบสูงตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อไปยังเชิงเขาใหญ่ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ผมและบัดดี้ร่วมคัน โก้ เกียรติสยาม เกิดทรัพย์ จาก DrivingPlace สองคนที่มีโอกาสทดลองขับฮอนด้า ซิตี้ ตั้งแต่เจนนอเรชั่นแรกต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ร่วมทางกันไปสัมผัสกับ 2 ขุมพลังการขับเคลื่อนที่แตกต่าง เราต่างช่วยกันซึมซับความรู้สึกร่วมถึงข้อมูลอย่างเต็มที่
ขาไปเราเริ่มจาก ระบบขับเคลื่อนแบบ Sport Hybrid intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) ใน ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี หรืออาจเรียกว่าระบบ Full Hybrid ที่ผสานการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ร่วมกับเครื่องยนต์เบนชินขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า ( E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ถ่ายทอดกำลังอย่างต่อเนื่องหนักแน่น สุภาพนุ่มนวลด้วย แรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 3,000 รอบต่อนาที ให้ อัตราการประหยัดน้ำมันถึง 2 3 กิโลเมตร/ลิตร ตลอดสภาวะการขับขี่ที่อยู่ในโหมดไม่ประนีประนอม ทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 85 กรัม/กิโลเมตร และสามารถรองรับน้ำมัน E20 อยากจะบอกว่าเหมือนขับรถไฮบริดซีดานขนาดกลางในร่างทรงกะทัดรัด มาคราวนี้ ซิตี้ อี:เอชอีวี รับพันธุกรรมจากแอคคอร์ด ไฮบริดมาไม่น้อยทีเดียว
โดย ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี ใหม่ ยังมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัย ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง ( Honda SENSING) ที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจในทุกการเดินทาง ได้แก่
ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control: ACC)
ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)
ซึ่งทุกระบบในเพกเกจความปลอดภัย ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง ก็ทำงานได้อย่างแม่นยำใช้งานง่าย ตลอดเส้นทางการทดสอบเราจะได้สัมผัสกับประสบการณ์การขับขี่ที่มีคาแรกเตอร์ที่แตกต่างจาก ระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid i-MMD ใน ซิตี้ อี:เอชอีวี ใหม่ บนถนนหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นถนนในเมืองและนอกเมือง ที่มีทั้งทางตรง ทางโค้ง และทางขึ้น-ลงเนินเขา ซึ่งจะได้พิสูจน์ถึงสมรรถนะการขับขี่น่าประทับในรวมถึงความคล่องตัว การยึดเกาะถนนที่สามารถควบคุมได้อย่างมั่นใจ
ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี ใหม่ มาพร้อมอัตลักษณ์อันโดดเด่นของซิตี้คาร์ไฮบริด ด้วยโลโก้ฮอนด้าสีฟ้า (H Mark) และสัญลักษณ์ e:HEV ที่ด้านท้าย สปอร์ตพรีเมียมกับดีไซน์ RS รอบคัน ด้วยกระจังหน้าและสปอยเลอร์หลังแบบ Gloss Black ไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED กระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ตพร้อมไฟเลี้ยวในตัว และล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาด 16 นิ้ว กับยางขนาด 185/55 R16
ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง สะดวกสบายอย่างที่ควรจะเป็นในเกือบทุกมิติ เติมอารมณ์สปอร์ตหรูด้วยเบาะหนังกลับตกแต่งด้วยด้ายสีแดง ครบครันด้วยฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียม อาทิ มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว ช่องปรับอากาศตอนหลัง และระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start) ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ ฯลฯ
นอกจากนี้ยัง ครบครันด้วยมาตรฐานความปลอดภัย เพื่อความมั่นใจในทุกการเดินทาง อาทิ ถุงลม 6 ตำแหน่ง ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก (EBD) ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (Vehicle Stability Assist - VSA) ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist - HSA) กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมองได้ 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera) และเทคโนโลยีเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) อุ่นใจยิ่งขึ้นด้วย เทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัย อาทิ ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ( Honda LaneWatch) ระบบเบรกมือไฟฟ้า ( Electric Parking Brake) ระบบ Auto Brake Hold และระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) เป็นต้น โดย ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี ใหม่มีรุ่นเดียว e:HEV RS ในราคา 839,000 บาท คุ้มค่าเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้มา.
หลังการเก็บภาพเพื่อใช้ประกอบคลิปทางยูทูปของทั้ง Carallstyle และ DrivingPlace เราล่องกลับเมืองหลวงโดยเปลี่ยนมาขับ ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ด้วยชุดขับเคลื่อนเดียวกับซิตี้ ซีดานที่อยู่ในตลาดล่วงหน้ามาก่อนหนึ่งขวบปีซึ่งใช้ เครื่องยนต์เทอร์โบขนาด 1.0 ลิตร DOHC VTEC TURBO แบบ 3 สูบ 12 วาล์ว ให้ กำลังสูงสุด 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที ตอบสนองทันใจด้วย แรงบิดสูงสุด 173 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 – 4,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง (CVT) ให้ อัตราการประหยัดเฉลี่ยน้ำมันดีถึง 20 กิโลเมตร/ลิตร ในการทดลองขับแบบกดคันเร่งทำความเร็วกว่า 120 กม./ชม.เกือบตลอดเส้นทาง ขับสนุกยิ่งขึ้นด้วยระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยแบบ 7 สปีด (7-Speed Paddle Shift) และสะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ 100 กรัม/กิโลเมตร และสามารถรองรับน้ำมัน E20 ได้ด้วย
คันที่เราขับมาพร้อมสไตล์สปอร์ตโดดเด่นตามฟอร์มท๊อปเวอร์ชั่น รุ่น RS ที่โฉบเฉี่ยวด้วยชุดแต่งรอบคัน ด้วยกระจังหน้าแบบ Gloss Black และสัญลักษณ์ RS กันชนหน้าและกันชนหลังสไตล์สปอร์ต ไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ไฟท้ายแบบ LED และ ไฟตัดหมอกแบบ LED กระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ตปรับและพับไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยวในตัว สปอยเลอร์หลังตกแต่งสีดำแบบสปอร์ต และล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาด 16 นิ้ว กับยางเนื้อดีขนาด 185/55 R16
ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง อัปความสปอร์ตยิ่งขึ้นด้วยเบาะหนังกลับดีไซน์ใหม่ตกแต่งด้วยแถบสีแดง เบาะนั่ง อัลตรา ซีท ( ULTR) อันเป็นเอกลักษณ์ของฮอนด้า ที่แยกพับได้แบบ 60:40 สามารถปรับเปลี่ยน เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยอเนกประสงค์ได้ถึง 4 โหมด พร้อมห้องสัมภาระท้ายขนาดใหญ่ ได้แก่
U tility Mode: เบาะด้านหลังทั้ง 2 ด้านปรับพับเรียบ เพิ่มพื้นที่เก็บของด้านหลัง
L ong Mode: เบาะด้านหน้าและด้านหลังปรับพับ เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวยาว
T all Mode: เบาะด้านหลังพับขึ้น เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวสูง
R efresh Mode: เบาะด้านหน้าพับเชื่อมต่อกับเบาะด้านหลัง สร้างพื้นที่ผ่อนคลายเพิ่มความสะดวกสบาย
นอกจากนี้ ยังมาพร้อม ฟังก์ชันการใช้งาน อาทิ หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่พร้อมมาตรวัด เรืองแสงสีแดงสไตล์สปอร์ต (เฉพาะรุ่น RS) ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ และเย็นสบายด้วยระบบปรับอากาศอัตโนมัติ
ครบครันด้วยมาตรฐานความปลอดภัย อาทิ ถุงลม 6 ตำแหน่ง ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก (EBD) ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (Vehicle Stability Assist - VSA) ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist - HSA) กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมองได้ 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera) และเทคโนโลยีเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) เป็นต้น
เรามาถึงยุคที่รถยนต์ซิตี้คาร์ มีทั้งความสะดวกสบาย เทคโนโลยีความปลอดภัยและการเชื่อมต่อผู้ขับขี่กับรถรวมถึงโลกโซลเซียล น้ำหนักพวงมาลัย การตอบสนองของช่วงล่างซึ่งส่งผลถึงการยึดเกาะถนน ตลอดจนการบังคับควมคุมที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ตามบุคลิกของตัวรถ และที่สำคัญทั้ง 2 รุ่น 2 คัน 2 คม ให้อัตราการประหยัดเชื้อเพลิงถึงมากกว่า 20 กิโลเมตร/ลิตร ในการขับขี่แบบไม่ต้องออมมือออมเท้า สรรพัดโหมด ( เอาที่สบายใจ) ขอย้ำ! ทั้งขับสนุกและประหยัดน้ำมันในความเหมือนที่แตกต่างของสองน้องใหม่จาก เดอร์ ซิตี้ ซีรีส์
ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่
รุ่น RS ราคา 749,000 บาท
รุ่น SV ราคา 675,000 บาท
รุ่น S+ ราคา 599,000 บาท
ผู้สนใจสัมผัส “เดอะ ซิตี้ ซีรีส์” สามารถลงทะเบียนและทดลองขับ ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี ใหม่ และ ฮอนด้า ซิตี้ เทอร์โบ ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ และ เตรียมสัมผัสกับ ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ ณ โชว์รูมและศูนย์บริการฮอนด้า ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2564 เป็นต้นไป